เป็นการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะที่มักมีต้นเหตุมาจากการได้รับเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection : UTI) จนก่อให้เกิดความผิดปกติขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เหตุเพราะท่อปัสสาวะของเพศหญิงจะสั้น และอยู่ใกล้ทวารหนักซึ่งเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคมาก เชื้อโรคบริเวณดังกล่าวจึงเข้าทางท่อปัสสาวะของเพศหญิงได้ง่ายยิ่งกว่าเพศชาย
อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
คนไข้จะปวดปัสสาวะบ่อยครั้ง รู้สึกเจ็บปวดแสบขณะปัสสาวะ ปัสสาวะมีเลือดผสมออกมา เจ็บท้องน้อย รวมถึงลักษณะน้ำปัสสาวะที่ออกมามีจำนวนน้อย สีขุ่น และก็มีกลิ่นเหม็นไม่ปกติ
สาเหตุของการเกิดโรค
สาเหตุหลักที่นำมาซึ่งโรคปัสสาวะอักเสบในเพศหญิง ยกตัวอย่างเช่น
1.การติดเชื้อแบคทีเรีย
แม้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นตัวการก่อให้เกิดโรคปัสสาวะอักเสบจะมีอยู่หลายแบบ แต่ผู้ป่วยโรคนี้โดยมากมักติดเชื้ออีโคไล (E.Coli) เคล็บซิลลา (Klebsiella) ซูโดโมแนส (Pseudomonas) แล้วก็เอนเทอโรแบกเตอร์ (Enterobacter) ซึ่งแบคทีเรียพวกนี้มักแพร่มาจากทางเดินอาหารรวมทั้งช่องคลอด โดยปนเปื้อนมาพร้อมกับอุจจาระหรือในขณะมีเซ็กส์
2.การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน
การขาดฮอร์โมนประเภทนี้ทำให้แบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของโรคปัสสาวะอักเสบเติบโตได้ง่ายในมดลูกหรือท่อปัสสาวะ โดยยิ่งไปกว่านั้นหญิงในวัยหมดประจำเดือน
3.การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) อย่างโรคหนองในหรือเริม มีโอกาสทำให้เชื้อแบคทีเรียหลุดลงสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่าย กระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบที่เรียกว่า อาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
4.การตั้งครรภ์
ขณะมีครรภ์ ทางเดินปัสสาวะจะขยายออก ทำให้เชื้อโรคมีโอกาสไปสู่ทางเดินปัสสาวะมากขึ้น และบางทีอาจเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคปัสสาวะอักเสบ
- การกลั้นปัสสาวะเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ทำให้เชื้อโรคในปัสสาวะเจริญเติบโตได้ดี
- การดูแลและรักษาสุขลักษณะบริเวณของลับไม่ดี โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิง ถ้าชำระล้างผิดวิธี เช่น เช็ดชำระล้างจากด้านหลังมาด้านหน้า ก็จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อจากช่องคลอดและก็ทวารหนักได้
- การสวนล้างช่องคลอดด้วยยาปฏิชีวนะ ทำให้แบคทีเรียชนิดดีที่ทำหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคถูกกำจัดออกไป ก็เลยมีการติดเชื้อง่ายมากยิ่งขึ้น
- การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เมื่อฮอร์โมนผู้หญิงน้อยลง ทำให้ความชื้นบริเวณเยื่อบุช่องคลอดและเยื่อบุท่อปัสสาวะซึ่งช่วยป้องกันการได้รับเชื้อลดน้อยลงตามไปด้วย
- คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ถ้าหากควบคุมโรคได้ไม่ดีก็มีโอกาสติดเชื้อโรคได้ง่ายเพราะร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำอยู่แล้ว
- คนไข้จะต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน
- การใส่สายสวนปัสสาวะเป็นระยะเวลานาน
การวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
หมอจะสอบถามคนป่วยเกี่ยวกับอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ประวัติการเจ็บป่วย แล้วก็ตรวจสุขภาพ หลังจากนั้นอาจตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีพิเศษอื่นเพื่อวิเคราะห์ความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ
1. การตรวจปัสสาวะ (Urine Analysis)
เมื่อผู้ป่วยมีอาการที่น่าสงสัยของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หมอจะให้ผู้ป่วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะที่อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย เลือด หรือเม็ดเลือดขาวผสมอยู่ในปัสสาวะหรือไม่ หากมีก็จะช่วยให้หมอวิเคราะห์ในเบื้องต้นได้
2. การส่องกล้อง (Cystoscopy)
เป็นวิธีที่ใช้ตรวจหาความผิดปกติภายในกระเพาะปัสสาวะ โดยหมอจะใส่กล้องขนาดเล็กที่มีลักษณะเป็นท่อยาวผ่านทางระบบทางเดินปัสสาวะ ถ้าหากพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นจะมีการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อบางส่วนมาตรวจในห้องทดลองทางการแพทย์ วิธีนี้ไม่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคครั้งแรก และใช้เฉพาะกรณีที่คาดว่าตัวโรคเกิดจากมูลเหตุอื่นที่ไม่ใช่การได้รับเชื้อ
3. การถ่ายภาพทางรังสี (Imaging Tests)
เป็นวิธีการใช้รังสีตรวจภายในกระเพาะปัสสาวะ ดังเช่น เนื้องอก ส่วนประกอบของเนื้อเยื่อ เพื่อหามูลเหตุที่อาจเป็นไปได้ของการอักเสบ บางทีอาจเป็นการเอกซเรย์หรือการตรวจอัลตราซาวด์ ซึ่งหมอจะใช้แนวทางลักษณะนี้สำหรับการวิเคราะห์ผู้ป่วยบางรายที่สงสัยภาวะเนื้องอกหรือความผิดปกติอื่นเท่านั้น
ขั้นตอนการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
แนวการดูแลและรักษาสำคัญ ๆ คือการให้ยายาปฏิชีวนะประมาณ 3-5 วันขึ้นอยู่กับชนิดของยา ร่วมกับการดูแลและรักษาตามอาการถ้าจำเป็น อย่างเช่น ยาพาราจำพวกคลายการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ แล้วก็พยายามดื่มน้ำให้มาก ๆ ทั้งนี้ คนป่วยไม่ควรซื้อยากินเองเนื่องจากบางทีอาจได้ยาที่ไม่ตรงกับชนิดของเชื้อโรคและจะก่อให้การดื้อยาได้ง่าย
การป้องกันและการดูแลตัวเองของผู้ป่วย
- ไม่กลั้นปัสสาวะ หากรู้สึกเจ็บปวดปัสสาวะจะต้องบังคับตนเองให้เข้าห้องน้ำโดยทันที
- ผู้สูงวัยหลายรายเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเพราะว่านอนหลับนาน ๆ โดยไม่ลุกมาปัสสาวะ ก็เลยไม่ควรดื่มน้ำหรือกินผลไม้ที่มีน้ำมาก ๆ ก่อนไปนอน
- รักษาสุขอนามัยบริเวณของลับด้วยการทำความสะอาดจากข้างหน้าไปข้างหลัง
- ไม่สวนหรือล้างช่องคลอดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค กระบวนการทำความสะอาดด้วยสบู่ธรรมดาก็พอเพียงแล้ว
- หลังมีเซ็กส์ ควรจะปัสสาวะทิ้งและก็ชำระร่างกายในทันที
- ควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง อาทิเช่น โรคเบาหวาน เพราะว่าหากควบคุมไม่ได้ก็จะติดโรคซ้ำแล้วซ้ำอีก
- สตรีวัยหมดประจำเดือน หากมีการติดเชื้อบ่อย ๆ บางทีอาจจะต้องใช้ยาปรับฮอร์โมนแบบเฉพาะที่ช่วย ดังเช่นว่า ยาเหน็บเพื่อเพิ่มความชื้นบริเวณเยื่อบุช่องคลอดแล้วก็เยื่อบุท่อปัสสาวะเพื่อลดการติดเชื้อ แต่เนื่องจากการใช้ฮอร์โมนอาจมีผลกระทบได้ จำเป็นต้องปรึกษาหมอก่อนทุกครั้ง
- คนป่วยที่จำเป็นต้องกินยาปรับภูมิคุ้มกัน จึงควรปรับยาตามดุลยพินิจของหมอ
อาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบเกิดจาการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ หากคุณกลัวเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบคุณจะต้องไม่กลั้นปัสสาวะ และป้องกันการติดเชื่อในบริเวณจุดซ่อนเร้นให้ดี เพียงเท่านี้คุณก็ห่างไกลจากโรคปัสสาวะอักเสบแล้วค่ะ