ผ่าตัดกระเพาะแบบสลิฟ คืออะไร แล้วได้ผลในการลดความอ้วนหรือไม่

การผ่าตัดกระเพาะ ผ่าตัดลดน้ำหนัก ลดอ้วนแบบสลีฟ (Laparoscopic Sleeve Gastrectomy – LSG) เป็นการ่าตัดสำหรับผู้ป่วยที่อ้วนมาก ไม่อาจจะลดความอ้วนด้วยการบริหารร่างกายและควบคุมเรื่องของการรับประทานอาหารได้ เป็นการตัดเอากระเพาะออกไป ซึ่งจะเอาทิ้งราวๆ 85% จะทำให้คุณรับประทานอาหารได้ลดน้อยลง การผ่าตัดจำพวกเป็นที่นิยมมากในตอนนี้ เนื่องจากว่าไม่ต้องตัดต่อกับลำไส้เล็ก และก็การผ่าตัดแบบนี้ช่วยทำให้ลดความอ้วนได้ถึง 40-60 % จากน้ำหนักเดิมด้านในปีแรกข้างหลังผ่าตัด แต่ว่าการผ่าตัดจำพวกเป็นการผ่าตัดที่ไม่อาจจะแก้ไขกลับคืนมาได้ ดังนั้น ควรจะตัดสินใจพิจารณาถึงจุดเด่น ข้อผิดพลาดให้ดี รวมทั้งตรวจร่างกาย ว่าตัวเองมีสุขภาพดี สำหรับการผ่าตัดประเภทนี้ไหม อีกทั้งเป็นการรักษาโรคที่เกิดขึ้นจากความอ้วน ตัวอย่างเช่น ไขมัน ความดัน โรคเบาหวาน ไขมัน ความดันไปด้วย ซึ่งการผ่าตัดชนนิดนี้ โดยสามารถทำผ่าตัดได้ ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป

การผ่าตัดกระเพาะ ผ่าตัดลดน้ำหนัก ลดอ้วนแบบสลีฟ

วิธีการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยที่แพทย์แนะนำให้กับบุคคลทั่วไปมี 3 วิธี คือ

  • การควบคุมอาหารโดยรับประทานไม่เกิน 800-1200 Kcal/วัน หรือใช้สูตรการลดอาหารที่เป็นที่ยอมรับอย่างถูกวิธี สามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 6-9 %
  • การออกกำลังกายระดับปานกลาง, zone 2 ขึ้นไป, หรือให้ได้ 60-80% ของ Maximal heartrate เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ สามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 6-9 %
  • การผ่าตัดลดน้ำหนักสามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 18-40% ซึ่งมากพอจะลดโรคร่วมจากความอ้วนที่เกิดขึ้นแล้วได้ 60-93% และป้องกันโรคร่วมจากไขมันในร่างกายสูงสะสมได้หลายโรครวมถึงมะเร็งบางชนิด

การลดน้ำหนักด้วยวิธีผ่าตัดแบบสลีฟ
การผ่าตัดทำโดย การส่องกล้องผ่านแผลเล็กๆที่พุง 3-4 แผล ศัลยแพทย์ตัดกระเพาะออก 80% ด้วย วัสดุอุปกรณ์จำพวกพิเศษนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมิได้ใช้ขั้นตอนการตัดรวมทั้งเย็บแบบเดิม ๆ จากนั้น กระเพาะที่ถูกเอาออกจะถูกดึงผ่านรอยแผลที่สะดือ เมื่อกระเพาะที่ยังคงเหลือจะมีขนาดเล็กโดยประมาณ 100-150 ซีซี เวลารับประทานไปนิดหน่อยก็อิ่ม  เวลาทำการผ่าตัดรวมรวมประมาณ 2 ชั่วโมง

หลังผ่าตัวช่วงเวลาพักฟื้นนานเพียงใด ?
การพักฟื้นจะใช้เวลา 2-3 เดือน เพื่อร่างกายกลับไปสู่สถานการณ์ปกติ และจำเป็นต้องปรับนิสัยให้คุ้นชินกับการกินที่ลดน้อยลงมากคุณอาจจะมีความรู้สึกเจ็บปวดแผลและก็ท้องเป็นระยะเวลายาวนานหลายวัน แต่ว่าหมอก็จะจ่ายยาพาราเพื่อลดอาการปวดนี้ให้กับคุณได้ และการพักฟื้น 2-4 อาทิตย์ คุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมได้ตามเดิม แต่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่โดยเฉลี่ยแล้ว จะต้องพักโดยประมาณ 6 อาทิตย์ เพราะว่าเป็นการผ่าตัดผ่านกล้องจำต้องใช้เวลาสำหรับเพื่อการพักฟื้นน้อยกว่า การผ่าตัดแนวทางอื่น เพราะว่าแผลจะมีขนาดเล็กซึ่งเลือนรางไปเองเมื่อเวลาผ่านไป
ประโยชน์ของการผ่าตัดลดน้ำหนัก

  • การผ่าตัดลดน้ำหนักนับเป็นวิธีการลดน้ำหนักในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุขภาพของคุณจะดีขึ้นอย่างมากหลังการผ่าตัดลดน้ำหนักแล้ว ลดปริมาณอาหารเข้าสู่ร่างกาย โดยลดขนาดกระเพาะอาหาร ทำให้กินไม่มาก ก็อิ่มไว น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็ว
  • ลดการดูดซึมอาหาร โดยเปลี่ยนแปลงทางเดินอาหารให้อาหารที่เข้ามา มีระยะพบน้ำย่อยและดูดซึมลดลง
  • ช่วยปรับฮอร์โมน ช่วยให้ร่างกายหิวน้อย, อิ่มเร็ว, อวัยวะทำงานดีขึ้น เช่น ฮอร์โมนรักษาระดับน้ำตาลในกระแสเลือด
  • เมื่อพ้นระยะการปรับตัวคนไข้จะสามารถกลับมากินอาหารได้ตามปกติ แต่กินในปริมาณน้อยลงมาก

ข้อเสียของการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบสลีฟ

  • ไม่สามารถทำกับผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อนได้
  • ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบใส่ห่วงมาก่อน

ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด

ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดก็แบ่งเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือการตรวจร่างกายก่อนการผ่าตัด ซึ่งขึ้นกับน้ำหนักและความเสี่ยง มีตั้งแต่การตรวจเลือดธรรมดาจนกระทั่งบางรายต้องตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่ม ส่วนที่สองคือค่าผ่าตัด ส่วนที่สามคือค่าใช้จ่ายหลังการผ่าตัดรวมวิตามิน การตรวจต่อเนื่อง

ความเสี่ยงจากการผ่าตัดลดน้ำหนักมีอะไรบ้าง

ความเสี่ยงจากการผ่าตัดลดน้ำหนักมีอะไรบ้าง

  • ภายหลังการผ่าตัด อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยจากลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด (pulmonary embolism) หรือลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Deep vein thrombosis) ซึ่งมียาที่ช่วยป้องกันอาการเหล่านี้ได้ นอกจากนี้การที่คุณเคลื่อนไหว หรือลุกขึ้นทำกิจกรรมต่างๆ ได้เร็วเท่าไร จะยิ่งช่วยลดความเสี่ยงของอาการเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น ส่วนการติดเชื้อ ก็อาจพบได้บ้างหลังการผ่าตัดลดน้ำหนัก
  • หากน้ำหนักของคุณลดลงอย่างรวดเร็วหลังการผ่าตัด อาจพบนิ่วในถุงน้ำดีได้บ้างเช่นกัน
  • หรือหากน้ำหนักลดลงอย่างอย่างรวดเร็วหลังผ่าตัด อาจะทำให้มีผิวหนังหย่อนคล้อยมากได้

การเตรียมตังหลังการผ่าตัดเสร็จแล้วต้องทำอะไรบ้าง

หลังจากการผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนัก คุณต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ต้องลดปริมาณอาหารลงจากที่เคยปฏิบัติมาก่อนการผ่าตัด โดยแต่ละคลินิกจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะให้คำปรึกษาและแนะแนวทางเกี่ยวกับการบริโภคอาหารที่เข้มงวดให้คุณปฏิบัติ 2-3 สัปดาห์หลังจากผ่าตัด

หลังจากคุณผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักแล้ว คุณต้องมาพบแพทย์และทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี หลังจากนั้นคุณยังต้องมาพบแพทย์ปีละครั้งเป็นประจำ

ร่างกายของคุณอาจจะไม่สามารถดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุได้เหมือนกับตอนก่อนผ่าตัด จึงต้องได้รับวิตามินเสริมตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ และจะต้องมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตโดยการตรวจเลือดเพื่อหาระดับธาตุเหล็ก แคลเซียม ทองแดง สังกะสี วิตามินดีและวิตามินบี 12

ใครที่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้บ้าง

  • ผู้ที่มีอายุ ระหว่าง 18-65 ปี มีค่า BMI > 37.5 kg/m² และค่า BMI 32.5-37.49 kg/m² ร่วมกับเป็นเบาหวาน หรือมีโรคร่วมจากความอ้วน 2 โรคขึ้นไป
  • ผู้ที่ลดน้ำหยักแล้วไม่ได้ผล พยายามออกกำลังกายและควบคุมอาหารอย่างเต็มที่แล้วไม่ได้ผล
ใส่บอลลูนลดน้ำหนัก

Written by

ExcessiveSweating.in.th

ตัดหนังส่วนเกิน ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก ศัลยกรรมตัดหนังส่วนเกิน ช่วยให้ลดความอ้วน เป็นเรื่องง่ายขึ้น